ขึ้นรถไฟสายเหนือ สู่ปลายทางสถาบันอันภาคภูมิใจ “วิทยาศาสตร์ มช.”

  • คุณสมพงษ์ หริจันทร์วงศ์ อดีตนายกสมาคมนักศึกษาเก่าคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
blog-image

ประสบการณ์และความประทับใจ เริ่มตั้งแต่

รับน้องรถไฟ  :  ผมและเพื่อนๆ ที่ไม่ใช่คนเหนือหรือคนเชียงใหม่เลย  ได้การต้อนรับจากพี่ๆ  ตั้งแต่สถานีรถไฟหัวลำโพง โดยมีพี่ๆ ในแต่ละคณะมารอรับพวกเรา  เพลงเชียร์ของแต่ละคณะและเพลงของมหาวิทยาลัยดังกระหึ่มสถานี การต้อนรับน้องๆ  เป็นไปด้วยดีและจัดขบวนน้องๆ แต่ละคณะขึ้นตามโบกี้ที่จัดไว้ให้แบบเหมาโบกี้  จำได้ว่าคณะเราเหมา 3 โบกี้ โดยมีพี่ๆ ขึ้นรถไฟไปกับพวกเราด้วย มีการร้องเพลง เล่นเกมส์และพูดคุยไปตลอดทาง ซึ่งกว่าจะถึงสถานีสุดท้ายที่เชียงใหม่  ใช้เวลาร่วม 14 ชั่วโมง  ทุกสถานีที่จอดแวะก็จะมีพี่ๆ ในจังหวัดนั้นๆ มาต้อนรับ  เหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน เวลาร่วม 14 ชั่วโมงดูเหมือนผ่านไปเร็วมาก  เมื่อเรามาถึงสถานีสุดท้ายที่เชียงใหม่ ซึ่งก็มีพี่ๆ ครู อาจารย์ หลายๆ ท่านมาคอยต้อนรับ จำได้ว่าได้รับมะลิคล้องคอต้อนรับจากพี่ๆ รู้สึกดีอบอุ่นมากๆ  จากนั้นพี่ๆ ก็นำเราสู่มหาวิทยาลัย แยกไปตามคณะและสุดท้ายส่งตามหอพัก ยกเว้นผมซึ่งมีพี่สาวอยู่เชียงใหม่ ไปพักในเมือง

เริ่มต้นการลงทะเบียน :  จำได้ว่าสำหรับปี 1 ทุกคณะจะมีการลงทะเบียนในวันเดียวกันที่ตึกเรียนรวม ซึ่งก่อนการลงทะเบียนจะมีรุ่นพี่ อาจารย์ และคณะแนะนำวิชาบังคับ วิชาเลือกและขั้นตอนการลงทะเบียน  พอถึงวันลงทะเบียน  เป็นวันที่ชุลมุนมากเพราะต่างคนต่างแย่งกันลงทะเบียนให้ได้วันและเวลาเรียนตามที่วางแผนไว้  จำได้ว่ามีเพื่อนผู้หญิงบางคนถึงกับยืนร้องไห้เพราะไม่สามารถลงทะเบียนได้ครบทุกวิชาตามที่วางแผนไว้ แต่สุดท้ายก็มีพี่ๆ แอบปืนเข้าไปบริเวณลงทะเบียนช่วยน้องๆ ในการย้ายตารางเรียน สลับตารางเรียนจนสามารถลงได้ครบทุกวิชา...  งานนี้ต้องขอคารวะศิษย์พี่จริงๆ ครับ

ซ้อมเชียร์  :  จำได้ว่าวันแรกของการเข้าประชุมเชียร์  มีพี่ๆ ทีมเชียร์ ยืนประกบ ช่องทางเดินขึ้นบันไดห้องเรียนเคมี 1 พี่ประธานเชียร์ปีนั้น ผมจำชื่อไม่ได้แล้ว เริ่มเปิดประชุมเชียร์ได้อย่างน่ารักมาก ด้วยวลี  “น้องปี 1 พวกคุณมีสิทธิ์เป็นศูนย์ ถ้าพี่ไม่ให้พูดหรือทำอะไรไม่มีสิทธิ์ทั้งนั้น และขอให้นั่งตัวตรง อย่าพิงผนัง”  ว่ากันว่าด้วยเกียรติภูมิที่คณะวิทยาศาสตร์ ของเราครองถ้วยแชมป์เชียร์ลีดเดอร์ มาเกือบทุกปี เลยพยายามทำให้พวกเราเหมือนกองเชียร์หุ้นยนต์ คือแพ้ไม่ได้ผิดไม่เป็น ทั้งเสียงดัง ทั้งท่าทาง การปรบมือต้องพิถีพิถันถูกต้องถูกจังหวะ และพร้อมเพรียงสวยงาม  ช่วงเวลาเข้าห้องเชียร์คือช่วงตอนเย็นหลังเลิกเรียน มีการตรวจเช็คจำนวนน้องที่เข้าเชียร์ โดยนับแยกตามหอพัก แต่ละหอ

วันไหนหอไหนมาไม่ครบ ก็เป็นโศกนาถกรรมของเพื่อนร่วมหอ จะถูกพี่เชียร์สั่งทำโทษ เช่น วิ่งงรอบตึก กลิ้งพร้อมๆ กัน เมื่อน้องมาครบเข้าห้องเชียร์ พี่ๆ ทีมเชียร์ในห้องเชียร์จะแสดงท่าทางดุดันมาก เช่น ใครร้องเพลงผิด จะโดนพี่ๆ รุมตะโกนตะคอกน้องจนกลัวไม่กล้าผิดอีกเลย เพื่อนผู้หญิงในรุ่นผมบางคนถึงกับร้องไห้ในห้องเชียร์ แทนที่จะปลอบน้อง กลับไล่น้องออกไปร้องข้างนอกห้อง เล่นเอาน้องทุกคนในห้องนั่งเงียบกริบไม่กล้าขยับเลย แต่สุดท้ายมารู้ทีหลังว่าพี่ไล่ให้ออกนอกห้องเพราะมีทีมปลอบน้อง รออยู่นอกห้อง จำได้ว่าเราเข้าซ้อมเชียร์ อยู่ร่วม 2-3 เดือน ก็เริ่มมีทีมก่อกบฏล้มเชียร์เกิดขึ้น  โดยวันนั้นวันที่เพื่อนๆ อยู่กันเต็มห้องเชียร์ เพื่อนคนหนึ่งก็ลุกยืน และยกมือขออนุญาตประธานเชียร์พูด แรกๆ พี่ประธานก็ไม่อนุญาตและสั่งให้นั่งลง แต่ไม่สำเร็จ เพื่อนที่ประท้วงยังพูดต่อ “พี่ๆ ทำอย่างนี้กับพวกผมทำไม” เป็นอันว่าวันนั้นพี่ประธานเชียร์ ประกาศหยุดการซ้อมเชียร์จนกว่าน้องจะไปขอโทษ  ซึ่งอีกไม่นานก็จะมีการแข่งกีฬาน้องใหม่  และเป็นเวลาเดียวกันกับการแข่งเชียร์ลีดเดอร์ พวกเราก็ไม่ยอมไปขอโทษพี่ๆ เพราะไม่รู้สึกผิด และยังไม่เข้าใจเจตนาในการทำเชียร์ เลยมีการซ้อมเชียร์ กลุ่มย่อยๆ ตามหอ โดยเล่นกันเอง เชียร์กันเอง เป็นที่สนุกสนาน

แข่งเชียร์ลีดเดอร์  :  พอถึงวันแข่งกีฬาน้องใหม่ ซึ่งจัดที่สนามกีฬาเชียงใหม่ (สนามมหาลัย) เพื่อนๆ รวมทั้งผมประมาณ 80 คน  ไปพร้อมรุ่นพี่ๆ เชียร์ เพื่อเป็นกองเชียร์ให้เพื่อนๆ ในรุ่น อัฒจันทร์สำหรับกองเชียร์มี 2 ฟาก ฟากหนึ่งมีหลังคากันแดด  อีกฟากไม่มีหลังคา คงเป็นเพราะจำนวนคนเชียร์เรามีน้อย  พี่ๆ เลยตัดสินใจพาไปนั่งอัฒจันทร์ที่ไม่มีหลังคา  โดยมีคณะเรานั่งอยู่คณะเดียว ที่เหลือนั่งอัฒจันทร์ฝั่งตรงข้าม  พวกเราก็ร่วมกันร้องเพลงเชียร์ ใต้แสงแดดจัดและเริ่มไม่สนุก  จนถึงเวลาพักเบรกก็ทนไม่ไหวยื่นข้อเสนอกับพี่เชียร์ว่า เราจะไปชึ้นเชียร์ฝั่งเดียวกับคณะอื่นๆ ถ้าพี่ไม่ตกลงพวกเราไม่เชียร์และจะแยกย้ายกันกลับ  สุดท้ายพี่ๆ ก็ตกลง และไปร่วมกันกับพวกเราร่วมร้องเพลงเชียร์แข่งกับคณะอื่นๆ  สุดท้าย  คณะเราก็ยังได้ถ้วยเชียร์อีกปี

รับน้องปี 1  :  เป็นประเพณีที่จัดกันมารุ่นต่อรุ่น  โดยปีที่ 2 เป็นหลักในการจัดรับน้องปี 1   โดยในรุ่นผมที่ปี 2  จัดซุ้มตั้งด่านเป็นจุดๆ  ตามทางเดินตามน้ำบริเวณสวนสัตว์ ขึ้นไป น้ำตกมณฑาธาร  โดยพี่ๆ ได้ผูกเชือกสีเหลืองตามต้นไม้ให้เราเดินตามทางขึ้นไป  โดยทางเดินส่วนใหญ่จะต้องย่ำน้ำตามลำธาร  บางช่วงก็ตื้น บางช่วงลึก สลับกับการต้องปืนขึ้นทางชันที่พี่ๆ ผูกเชือกไว้ให้จับ  โดยน้องๆ แต่ละคู่ก็ต้องคอยช่วยเหลือคู่ตัวเอง  บางด่านจะต้องพากันดำน้ำระยะสั่นๆ ลอดซุ้มที่สร้างไว้ต่ำเกือบติดผิวน้ำ  ด่านที่จำไม่ลืมคือด่านไหวพริบนักวิทยาศาสตร์  โดยด่านนี้พี่ๆ ให้เรานั่งพับเพียบอยู่ในน้ำซึ่งสูงแค่ 25-30 เซนติเมตร  สั่งให้เราร้องเพลงเชียร์  บูมซายน์ ในท่านั่งและสะบัดหัวขึ้นลงตามสไตส์เพลง บูมซายน์  นึกภาพตัวเองสะบัดหัวขึ้นลงในน้ำตลอดเพลง เสร็จแล้วพี่ก็สั่งให้เอาปากไปคาบเหรียญ 10 บาท ที่วางอยู่บนหินในน้ำตรงหน้าเราทั้งคู่  เราทั้งคู่พยายามก้มหัวลงไปพยายามจะใช้ปากคาบเหรียญขึ้นจากน้ำ แต่ไม่สำเร็จเพราะเหรียญจะลื่นไหลลงในร่องหินตลอดเวลา  สุดท้ายหลังจากฟังเสียงหัวเราะของพี่ๆ จนพอใจ  พี่ท่านนึงก็ถามว่า  พวกเอ็งเป็นนักวิทยาศาสตร์รึเปล่า?  เราทั้งคู่งงในคำถามสุดท้ายพี่ๆ ก็หัวเราะ และเฉลยว่าพี่สั่งให้เอาปากคาบเหรียญ แต่ไม่ได้ห้ามใช้มือหยิบเหรียญมาใส่ปากคาบ...  ตลกโง่งมจริงๆ เรา  แต่จำไว้นะพี่ๆ

ร่วมกิจกรรมค่ายอาสา มช.  : ช่วงปิดเทอมใหญ่ปีหนึ่ง  เพื่อนเมี้ยง  (ดร.ชนันท์ อังศุธนสมบัติ) ชวนให้ไปลองออกค่ายอาสาด้วยกันที่ อ.แม่ริม  เป็นค่ายช่วยกันสร้างต่อเติมโรงเรียนให้ชาวเขา เตรียมเสื้อผ้าไปแค่ 3-4 ชุด เพราะตั้งใจว่าจะอยู่แค่ 4-5 วัน  แต่พอได้ร่วมงานแล้วรู้สึกสนุกและประทับใจในหลายๆ เรื่อง และรู้สึกมีความสุขที่ได้ทำอะไรเพื่อคนอื่นบ้าง ช่วงที่ไปออกค่าย เป็นช่วงที่อากาศหนาวเย็นมาก อีกทั้งหมู่บ้านที่ไปอยู่บนเขาต้องเดินทางเท้าขนสัมภาระต่างๆ ขึ้นไปกัน พอไปถึงวันแรกพวกเราช่วยกันตั้งเต้นท์สำหรับนอนตอนกลางคืน  โดยกางเต้นท์บริเวณลานว่างกลางโรงเรียน  ทีมจัดงานก็เริ่มการประชุมเตรียมงานสำหรับวันต่อไป  โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ 4-5 กลุ่ม คือกลุ่มสัมพันธ์ชาวบ้าน,  กลุ่มโภชนาการ, กลุ่มก่อสร้าง, กลุ่มสวัสดิการและกลุ่มอื่นๆ (พยาบาล, อื่นๆ)  ตกดึกแยกย้ายกันเข้าเต้นท์นอน  แต่ต่างคนต่างนอนไม่หลับเพราะอากาศหนาวเย็นยะเยือก สุดท้ายต้องออกมาก่อสุมไฟตรงกลาง และปูผ้านอนรอบกองไฟ เป็นประสบการณ์ที่ลืมไม่ลง  เพราะนอนหันหน้าเข้ากองไฟก็จะหนาวหลัง เลยต้องนอนสลับหน้า-หลังเข้ากองไฟตลอดคืน  ด้วยความที่ขาดประสบการณ์เลยไม่ได้เตรียมถุงเท้า ถุงมือหนาๆ ไปด้วย ขนาดใส่ถุงเท้าแล้วสอดเท้าในถุงเป้ยังไม่หายหนาวเลย 

หลังจากผ่านคืนแรกมาได้  ชาวบ้าน (ชาวเขา)  ก็คงสงสารพวกเรา โดยเริ่มมาชวนพวกเราแยกกันไปนอนตามบ้านชาวเขา  ผมกับเพื่อนอีก 2-3 คน ก็ได้รับการเชิญจากแม่อุ้ย ซึ่งอายุน่าจะไม่น้อยกว่า 60 ปี  ซึ่งมีหลานสาว อายุ 2-3 ขวบ  อยู่ตามลำพัง   ตอนกลางคืนแม่อุ้ย จัดเตรียมห้องที่อบอุ่นและดีที่สุดให้กับพวกเรา  รวมทั้งเสื่อ หมอน ผ้าห่ม สภาพใหม่เอี่ยม  ที่เก็บไว้อย่างดี  มาให้พวกเราใช้นอน  ทำให้ทราบซึ่งในน้ำใจของแม่อุ้ยมาก  รู้สึกสนุกและมีความสุขทุกวันในค่ายอาสา  อยู่ในค่ายอาสาแห่งนี้จนครบเวลาโครงการคือ 14 วัน  เสื้อผ้าที่เตรียมมาแค่ 3-4 ชุด  สำหรับ 4-5 วัน  ต้องใส่สลับ หมุนเวียนจนครบกำหนด  ถึงวันสุดท้ายเสื้อผ้าสกปรกแทบจะตั้งได้เลย คืนสุดท้าย  ก็แจ้งแม่อุ้ยว่า พวกเราจะกลับวันรุ่งขึ้น  ตื่นเช้ามาไม่เจอแม่อุ้ย แกออกไปตัดต้นไผ่ในป่ามาทำข้าวหลามให้พวกเราเป็นเสบียงในการเดินทางกลับ แม่อุ้ยปฏิบัติกับพวกเรายิ่งกว่าลูกหลาน รักและคิดถึงแม่อุ้ยไม่ลืมเลือนเลย…..

พี่รหัส  :  วันแรกในคณะฯ พี่ๆ ต่างประกาศตามหาน้องรหัส  รุ่นผมรหัส 22  มีด้วยกันประมาณ 300 คน  หลายคนโชคไม่ดีกำพร้าพี่รหัสเช่นเดียวกับผม  เพราะพี่รหัสผมชื่อสมศักดิ์ สอบเอนทรานซ์ใหม่ติดคณะวิศวฯ มหาวิทยาลัยขอนแก่น  ดีที่ได้พี่แต๊ว (ป้ารหัสอยู่ปีที่ 3 เมเจอร์คณิตศาสตร์)  มาดูแลผมแทน  พี่แต๊วจัดเต็มอุปกรณ์   การเรียนไม่ว่าสมุด ปากกา  ไม้บรรทัด  และอื่นๆ รวมทั้งเข็มขัดมหา’ลัย ประทับใจในพี่แต๊วมากๆ  และดีใจที่ได้ป้ารหัสที่น่ารัก  พาผมและเพื่อนสนิทไปเลี้ยงข้าวบ่อยๆ  รวมทั้งคอยดูแลเอาใจใส่เราเรื่องการเรียน เห็นได้จากวันหนึ่งพี่แต๊ว  เดินมาบอกว่าจะเลี้ยงข้าวแสดงความดีใจที่สอบได้คะแนนมิดเทอมวิชาคณิตศาสตร์สูงสุดใน Section แล้วพี่แต๊วก็พาไปเลี้ยงจริงๆ

เพื่อนๆ ที่น่ารัก : หลังจากเข้าร่วมกิจกรรมของสโมสรนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ (สนว.)  เริ่มจากงานประชาสัมพันธ์ และงานชมรมอาสาคณะฯ พฤติกรรมและความรับผิดชอบเรื่องการเรียนก็ลดลงตามลำดับ  เริ่มรู้สึกดีกับกิจกรรมที่รับผิดชอบมากกว่าการเรียน  เริ่มโดดเรียน  lecture หลายๆ วิชา จนเพื่อนเป็นห่วง  บุญของผมที่ได้เพื่อนที่น่ารักและเป็นห่วงเพื่อน  คอยเอาสมุดที่จด lecture มาให้เพื่อไปถ่ายเอกสารในวิชาที่ไม่ได้เข้าเรียนจนสามารถสอบผ่านได้ทุกวิชา  เคยถูกเพื่อนรักเตือน  ด้วยความเป็นห่วงเรื่องการไม่รับผิดชอบเรื่องการเข้าเรียน ต้องขอบใจเพื่อนๆ ที่น่ารักทุกคน ... เพื่อนรักเพื่อนกันตลอดไป

ครูที่เคารพรัก  :  รศ.ดร เสาวณีย์ รัตนพานี  ท่านเป็นอาจารย์ที่ห่วงใยลูกศิษย์ทุกคน เริ่มเรียนวิชาแรกกับอาจารย์ตอนปี 3 วิชาฟิสิกคัลเคม  ซึ่งเป็นวิชาที่ไม่เข้าใจเลยว่าเรียนและท่องจำไปทำไม  เทอร์โมไดนามิค ข้อที่ 0, ข้อที่ 1 และข้ออื่นๆ เอาไปใช้ทำอะไรได้บ้าง อาจารย์ท่านคงรู้สึกได้กับปัญหาของพวกเรา เลยจัดให้มีการเสวนาในชั่วโมงทำแล็ป  โดยตั้งคำถามพวกเราทำไมถึงไม่ชอบวิชาฟิสิกคัลเคม   วันนั้นท่านอาจารย์ค่อนข้างเปิดโอกาสให้พวกเราแสดงความคิดเห็น  หลายคนถามว่าเรียนไปทำไม  เอาไปใช้อะไรได้บ้าง  จนอาจารย์นำไปเป็นข้อมูลในการตอบคำถามพวกเราว่า กฎแต่ละข้อเอาไปทำอะไรได้บ้าง  ออกข้อสอบอัตนัยมิดเทอมให้พวกเรา  อธิบายว่า ทำไมตู้เย็นถึงเย็น  พวกเราบางคนใช้กฎเกณฑ์
เทอร์โมไดนามิค ข้อที่ 0  บางคนใช้ข้อที่ 1 บางคนใช้หลายข้ออธิบาย  จำได้ว่าพวกเราเขียนคำตอบไม่ซ้ำกันเลย  และเข้าใจมากขึ้นถึงกฎข้อต่างๆ

ผมเป็นคนที่ชอบทำแล็ปมาก  ไม่เคยโดดแล็ปเลยแม้แต่ครั้งเดียว  แล็ปวิชาฟิสิกคัลเคม ก็เช่นเดียวกัน  โดยมีอาจารย์ รศ.ดร.เสาวณีย์  เป็นคนคุมแล็ป  หลังทำแล็ปทุกคนจะต้องส่งผลทดลองส่งอาจารย์ทุกครั้ง  ผมน่าจะเป็นคนเดียวที่ไม่ส่งรายงานให้อาจารย์  ถึง 2 ครั้ง  เพราะว่าผลที่ได้จากการทดลองไม่สอดคล้องกับทฤษฎี  ผมเลยไม่อยากคำนวณตัวเลขที่ควรจะเป็นแล้วกรอกรายงานส่งอาจารย์ อาจารย์จำลูกศิษย์ได้ทุกคนรวมทั้งผม ท่านสงสัยว่าทำไมผมถึงไม่ส่งรายงานทั้งที่รู้ว่ผมมาเข้าทำแล็ป  เลยฝากบอกเพื่อนมาตามผมไปพบ  สอบถามถึงเหตุผลว่าทำไมไม่ส่งรายงาน  ทั้งที่จะมีผลกระทบกับคะแนนเก็บสะสม  ผมแจ้งท่านว่าผมทำแล้วค่าไม่ได้ตามทฤษฎี จึงไม่เชื่อว่าทฤษฎีถูกต้อง  ท่านอาจารย์ถึงถามว่าแล้วผมจะแก้ปัญหานี้อย่างไร  ผมขอทำแล็ปใหม่อีกครั้งครับ  ท่านอาจารย์ตอบ  OK  มาทำแล็ปกับท่านในวันเสาร์ได้เลย  จากการทำแล็ป  วันเสาร์โดยมีท่านอาจารย์คอยควบคุมอย่างใกล้ชิด  ทำให้รู้ว่าเราทำผิดพลาดตรงไหน  ท่านอาจารย์ยอมสละเวลาวันหยุดมาเปิดแล็ปมาดูแล และช่วยแก้ปัญหาในการทดลองโดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนใดๆ แต่ทำด้วยจิตใจที่เป็นครูอย่างแท้จริง......  เคารพรักเสมอครับอาจารย์

สถาบันที่ภูมิใจ รู้สึกรักและผูกพัน สถาบันที่ประกอบไปด้วย  ความรัก  ความห่วงใย  มิตรภาพ  ประสบการณ์ และกิจกรรมต่างๆ ในคณะและมหา’ลัย ทำให้ผมภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ  “ลูกช้าง วิทยาศาสตร์ มช.”